top of page

โรคอ้วนช่วยยืดอายุจริงหรือ? หรือตัวชี้วัด BMI ล้มเหลว?

Updated: 19 hours ago


โรคอ้วนช่วยยืดอายุจริงหรือ? หรือตัวชี้วัด BMI ล้มเหลว?
โรคอ้วนช่วยยืดอายุจริงหรือ? หรือตัวชี้วัด BMI ล้มเหลว?

มีการถกเถียงทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องว่า ภาวะอ้วนอาจช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตในกลุ่มคนบางกลุ่มได้หรือไม่


ประเด็นสำคัญ: 


  • ผู้ที่มีภาวะอ้วนเฉพาะกลุ่มบางกลุ่มมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่ไม่อ้วน

  • ดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นตัวชี้วัดสุขภาพที่ไม่แม่นยำ ในขณะที่ภาวะอ้วนลงพุงสามารถทำนายความเสี่ยงการเสียชีวิตได้อย่างถูกต้องกว่า

  • การออกกำลังกายช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากภาวะอ้วนได้


แม้ว่าโดยทั่วไปภาวะอ้วนจะถูกมองว่าทำให้อายุสั้นลง แต่สิ่งที่เรียกว่า "ความขัดแย้งของภาวะอ้วน" (obesity paradox) เกิดขึ้นจากการศึกษาที่ชี้ว่า ภาวะอ้วนอาจช่วยยืดอายุให้ยาวขึ้น ที่จริงแล้ว มีหลายการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ภาวะอ้วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเสียชีวิตที่ลดลง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ


ด้วยเหตุนี้ นักวิทยาศาสตร์จึงถกเถียงกันว่า ควรจัดภาวะอ้วนเป็นโรคหรือไม่ โดยเฉพาะในวัยชรา เนื่องจากอาจช่วยป้องกันผลกระทบจากวัยชราได้ อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของงานศึกษาเหล่านี้ถูกตั้งคำถามเนื่องจากวิธีการวัดภาวะอ้วนแบบดั้งเดิม



ดัชนีมวลกาย (BMI)

 

การจำแนกประเภทดัชนีมวลกายสำหรับโรคอ้วน


ในการศึกษาเช่นนี้ ผู้เข้าร่วมวิจัย จะถูกเปรียบเทียบโดยใช้ดัชนีมวลกาย (BMI) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง ผู้ที่มีค่า BMI สูงกว่า 30 กก./ม² จะถูกจัดว่าอยู่ในกลุ่มอ้วน ซึ่งหมายถึงมีไขมันในร่างกายมากเกินไป


อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเราไม่ได้ประกอบด้วยไขมันเท่านั้น แต่ยังมีกล้ามเนื้อ กระดูก และเนื้อเยื่ออื่นๆ ด้วย เนื้อเยื่อบางส่วน เช่น กล้ามเนื้อและกระดูก มีน้ำหนักมากกว่าไขมัน ดังนั้น นักเพาะกายที่มีไขมันในร่างกายน้อยแต่มีกล้ามเนื้อมากจึงถูกจัดอยู่ในกลุ่มอ้วน


ในทางกลับกัน บางคนที่มีมวลกล้ามเนื้อหรือมวลกระดูกลดลง อาจมีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเป็นลักษณะสำคัญของโรคที่เรียกว่า "ภาวะกล้ามเนื้อเสื่อม" (sarcopenia) ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเสียชีวิตที่สูงขึ้น ส่วนโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) ซึ่งมีลักษณะคือมวลกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกลดลง ก็สัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน  โรคทั้งสองชนิดอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยและไม่สามารถตรวจพบได้จากดัชนีมวลกาย (BMI) 


นอกจากนี้ BMI ยังไม่คำนึงถึงการกระจายตัวของไขมันในร่างกาย ซึ่งหมายความว่า คนที่มีค่า BMI ปกติ อาจมีไขมันหน้าท้องในระดับสูง ไขมันหน้าท้องซึ่งสามารถประเมินได้ด้วยการวัดรอบเอว อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตมากกว่าไขมันที่สะสมในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย (เช่น ต้นขาและสะโพก) ตัวอย่างเช่น การศึกษาหนึ่งพบว่า อัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในคนที่มีน้ำหนักปกติแต่มีไขมันหน้าท้องสูง เมื่อเทียบกับคนที่มีไขมันหน้าท้องน้อยกว่า (R)

ภาพเปรียบเทียบชายสองคนที่มีน้ำหนักเท่ากันแต่มีองค์ประกอบร่างกายต่างกัน คนหนึ่งมีไขมันมากและกล้ามเนื้อน้อย
ภาพเปรียบเทียบชายสองคนที่มีน้ำหนักเท่ากันแต่มีองค์ประกอบร่างกายต่างกัน คนหนึ่งมีไขมันมากและกล้ามเนื้อน้อย (skinny fat) ในขณะที่อีกคนมีกล้ามเนื้อมากและไขมันน้อย

ภาวะอ้วนทั้งที่น้ำหนักปกติหรือที่เรียกกันว่า "skinny fat" นั้นหมายถึง การมีไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นแต่ยังมีค่า BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายที่ใช้จัดกลุ่มภาวะนี้ แต่มีการรายงานว่า อยู่ที่มากกว่า 20-25% ในผู้ชายและมากกว่า 33-35% ในผู้หญิง (R)


สรุปได้ว่า BMI สามารถประมาณภาวะอ้วนในคนทั่วไปได้อย่างแม่นยำ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ใช่นักเพาะกาย อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถสรุปว่า คนที่มีค่า BMI ปกติจะสุขภาพดีเสมอไป โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่อาจมีมวลกล้ามเนื้อและกระดูกลดลง ดังนั้น การเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตของคนโดยใช้เพียงค่า BMI จึงมีข้อบกพร่องโดยธรรมชาติ





เมื่อไขมันไม่เป็นปัญหา


ความขัดแย้งของภาวะอ้วนนั้น เกิดขึ้นในกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น มีรายงานว่า ภาวะอ้วนสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตที่ลดลงในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน หรือผู้ที่ผ่านการรักษาเช่นการฟอกเลือดหรือการผ่าตัด


ส่วนคนที่ไม่มีโรคเหล่านี้หรือไม่เคยเข้ารับการรักษาดังกล่าว การมีค่า BMI สูงจะทำนายความเสี่ยงการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความขัดแย้งของภาวะอ้วนจะหายไปเมื่อไม่ใช้ BMI เป็นตัววัดภาวะอ้วน และพบว่า ไขมันหน้าท้อง โดยเฉพาะ visceral fat (ไขมันที่ล้อมรอบอวัยวะภายในช่องท้อง) เป็นตัวการหลักที่ทำให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น


อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาที่บันทึกไว้ว่า มีกลุ่มย่อยของผู้ที่มีภาวะอ้วนที่ระบบเผาผลาญแข็งแรง การศึกษาหนึ่ง (R) พบว่า กลุ่มนี้มีความฟิตทางกายมากกว่ากลุ่มอ้วนที่ระบบเผาผลาญไม่แข็งแรง สอดคล้องกับอีกการศึกษาหนึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีภาวะอ้วนและไม่ฟิตมีความเสี่ยงโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่มีภาวะอ้วนแต่ฟิตถึงสองเท่า ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับคนอ้วนที่ฟิต คนผอมแต่ไม่ฟิตมีความเสี่ยงต่อโรคระบบเผาผลาญที่สูงกว่า 


ดังนั้น โรคอ้วนจึงดูเหมือนจะส่งผลเสียน้อยกว่าสำหรับผู้ที่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายมีประโยชน์มากมาย รวมถึงการรักษามวลกล้ามเนื้อและกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการออกกำลังกายแบบต้านทาน นอกจากนี้ การออกกำลังกายอาจต่อต้านการขาดดุลการเผาผลาญที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนได้ด้วยการปรับปรุงความดันโลหิตและลดการอักเสบ ขณะเดียวกันก็ลดไขมันในช่องท้องและต่อสู้กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน ดังนั้น การมีรูปร่างที่ดีและมีไขมันจึงเป็นเรื่องสำคัญ


ดังนั้น โรคอ้วนดูจะเป็นอันตรายน้อยลงในคนที่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายมีประโยชน์หลายด้าน รวมถึงการรักษามวลกล้ามเนื้อและกระดูก โดยเฉพาะการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (resistance exercise) นอกจากนี้ การออกกำลังกายอาจช่วยชดเชยความบกพร่องของระบบการเผาผลาญ ที่มากับภาวะอ้วนโดยการปรับความดันโลหิตให้ดีขึ้น ลดการอักเสบ และลดไขมันในช่องท้อง และต่อสู้กับภาวะดื้อต่ออินซูลิน ดังนั้น การมีรูปร่างที่ดีและมีไขมันจึงเป็นเรื่องสำคัญ





ลดน้ำหนักก่อนวัยชราเพื่ออายุยืนยาว 


ในปี 2017 การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง (R) ของการศึกษาทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCT) จำนวน 54 รายการ แสดงให้เห็นว่า การลดน้ำหนักด้วยการควบคุมอาหาร ไม่ว่าจะร่วมกับการออกกำลังกายหรือไม่ ก็ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในผู้ใหญ่ที่มีภาวะอ้วนได้ การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า สำหรับประชากรทั่วไปที่มีภาวะอ้วน การลดน้ำหนักอาจนำไปสู่ชีวิตที่ยืนยาวขึ้น


อย่างไรก็ตาม ในกรณีของผู้สูงอายุ การวิเคราะห์ RCT ในปี 2023 (R) พบว่า การลดน้ำหนักสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ ผู้เขียนระบุว่า พวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าการลดน้ำหนักนั้นเป็นไปโดยสมัครใจหรือไม่ การลดน้ำหนักโดยไม่สมัครใจ อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น มะเร็ง นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่า มีโรคเช่น sarcopenia และ osteoporosis ร่วมด้วย เพราะการลดน้ำหนักอาจทำให้สูญเสียกล้ามเนื้อและกระดูกเพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้โรคเหล่านี้รุนแรงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้เขียนไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารและระดับการออกกำลังกายของผู้เข้าร่วมวิจัย


โดยรวมแล้ว ดูเหมือนว่าผู้ที่มีภาวะอ้วนที่อายุต่ำกว่า 60 ปีและไม่มีโรคประจำตัว อาจได้รับประโยชน์จากการลดน้ำหนัก ในขณะที่การลดน้ำหนักอาจไม่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโรค เช่น มะเร็ง sarcopenia หรือ osteoporosis





อ้างอิง:


Antonopoulos, A. S., & Tousoulis, D. (2017). The molecular mechanisms of obesity paradox. Cardiovascular Research, 113(9), 1074-1086. https://doi.org/10.1093/cvr/cvx106

 

Bosello, O., Vanzo, A. Obesity paradox and aging. Eat Weight Disord 26, 27–35 (2021). https://doi.org/10.1007/s40519-019-00815-4

 

Kapoor N. Thin Fat Obesity: The Tropical Phenotype of Obesity. [Updated 2021 Mar 14]. In: Feingold KR, Anawalt B, Blackman MR, et al., editors. Endotext [Internet]. South Dartmouth (MA): MDText.com, Inc.; 2000-. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK568563/


コメント


สินค้าขายดี

LOGO-DR.BUNLUE-WHITE-01_0.png

สมาชิกกลุ่ม "ย้อนวัยไปกับ dr.bunlue"

สำนักงาน

สำนักงาน dr.bunlue

88/4 ม.4 ต.คลองสอง

อ.คลองหลวง ปทุมธานี 12120

Tel: 082-777-4461

ห้องแลบและฝึกอบรม

9/69 ม.5 ต.คลองหนึ่ง

อ.คลองหลวง ปทุมธานี 12120

Tel: 082-777-4461

© 2023 by dr.bunlue Team -

bottom of page